แพร่ ผู้ใหญ่บ้านอิทธิพล ข่มขู่ชาวบ้าน และสื่อมวลชน ชาวบ้านร้องสื่อ มีผู้ใหญ่บ้าน ข่มขู่ยาย ที่ถูกเรียกเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืน บอกให้ยายรีบเอาเงินไปคืนไม่เช่นนั้นติดคุก สื่อมวลชนไปสอบถามผู้ใหญ่บ้านกลับถูกตะคอกไม่ให้ออกข่าวแถมบอกว่าเขาตกลงกันแล้วเขายอมคืนเงินให้ทั้งหมด วอนใครรับผิดชอบออกไปสอบสวนด้วย และต้องชี้แจงประชาชน
ชาวบ้านตาดำๆเริ่มอยู่ยากขึ้น ในเมืองแพร่ ยังหลงเหลือผู้ใหญ่บ้านที่มีอิทธิพลอยู่ เหตุการณ์นี้เริ่มจากสื่อมวลชนได้รับการร้องเรียนว่า ที่ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตอำเภอเมืองแพร่ มีผู้สูงอายุรายหนึ่งถูกเรียกเก็บเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืน หลายหมื่นบาท และได้มีผู้ใหญ่บ้านมาทำการไกล่เกลี่ยให้แต่เป็นการข่มขู่หญิงสูงอายุที่ต้องถูกเรียกเงินคืน โดยข่มขู่ว่าต้องรีบเอาเงินไปคืนให้เขาไม่เช่นนั้นจะติดคุก จนยายเกิดความกลัว และก็รับปากจะเอาเงินทั้งหมดไปคืนให้ท้องถิ่น นอกจากนั้น ผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าว ยังขู่สำทับไปว่าห้ามไปให้ข้อมูลนักข่าวด้วย
หลังจากที่สื่อมวลชนได้รับการร้องเรียนแบบนี้ก็จึงได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านของยายผู้สูงอายุเพื่อจะสอบถามข้อเท็จจริง ปรากฏว่า ยายไม่อยู่ โดยชาวบ้านข้างเคียงได้บอกกับนักข่าวว่า วันนี้มีนักข่าวหลายคนมาสอบถามแต่ยายแกหนีไปไม่พบและไม่ยอมให้ข่าว
นักข่าวได้เดินทางไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้าน และก็พบกับผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวเมื่อนักข่าวสอบถามเรื่องบ้านของยายที่ถูกเรียกเงินเบี้ยยังชีพคืน ผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าว ก็ออกอาการและแสดงอารมณ์ใช้อิทธิพลข่มขู่นักข่าว ตะเพิดไม่ยอมให้ข่าวโดยตะคอกว่าเขาไม่ให้ออกข่าว เขายอมจ่ายคืนแล้ว ซึ่งการแสดงพฤติกรรมแบบนี้ ทำให้มองเห็นพฤติกรรมของ ผู้นำชาวบ้าน ที่ยังหลงเหลือ อิทธิพลไว้อย่างเต็มรูปแบบ พูดจาเอาสะใจ
เรื่องนี้เป็นที่สงสัยของประชาชนมาก ทำไมทางการไม่ออกมาชี้แจงชาวบ้านกันบ้าง ว่า ที่จริงแล้ว ทาง ท้องถิ่นต่างๆ ต้องเรียกคืนได้ไหม และผู้ใหญ่บ้าน มีอำนาจหน้าที่แบบไหน ต้องช่วยชาวบ้าน หรือต้องไปคอยข่มขู่ชาวบ้านกันแบบนี้ เบื้องต้น ขอให้นายอำเภอเมืองแพร่ลงมาตรวจสอบ และเร่งทำการสอบสวนเอาผิดกับผู้ใหญ่บ้านคนนี้
มีการแชร์โพสต์ ข้อความ ของการตัดสินของศาลไว้มากมาย ว่าความผิดนี้ไม่ใช่ความผิดของ ผู้สูงอายุที่ไปรับเบี้ย เป็นความผิดของท้องถิ่น ที่ทำไมไม่ตรวจสอบ นี่คือเป็นการละเว้นส่อทุจริตต่อหน้าที่ทั้งสิ้น
สำหรับจังหวัดแพร่ ยังมีอีกมาก ดังนั้นผู้สูงอายุรายใดที่ถูกเรียกเก็บเงินคืน ขอให้แจ้งมาที่ 081-8822232 ก็ได้ ทางสื่อมวลชนจะเป็นสื่อกลางในการปรึกษาหารือให้
ที่ เชียงราย – ยาย89ปีป่วยหนัก ยากจนไม่มีเงินคืนเบี้ยสูงอายุที่ซ้อนกับเงินบำนาญลูกชายที่เสียชีวิต
วันที่ 27 ม.ค.64 นายเขื่อนเพชร อินต๊ะปัญญา อายุ 63 ปี บุตรชายของ นางฟอง อินต๊ะปัญญา อายุ 89 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57 หมู่บ้านใหม่สันติสุข หมู่ 10 ต.สันทราย อ.เมือง จ.เชียงราย ได้รับหนังสือจากเทศบาล ต.สันทราย อ.เมืองเชียงราย ให้ไปชำระค่าเบี้ยยังชีพผู้อายุที่ได้รับซ้ำซ้อนกับเงินบำนาญกรณีบุตรชายที่เคยเป็นทหารและเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่จำนวน 99,200 บาท โดยนางฟองเป็น 1 ใน 3 คนที่ได้รับหนังสือแจ้งจากเทศบาล ต.สันทราย ซึ่งรายอื่นได้ชี้แจงว่าจะชำระเงินคืน แต่กรณีของนางฟองพบว่ามีฐานะยากจนโดยปัจจุบันอาศัยอยู่ที่บ้านไม้ชั้นเดียว ตามลำพังเพราะสามีเสียชีวิตไปนานแล้ว ตนเองป่วยเป็นโรคหัวใจโต โรคความดันโลหิตสูง โรคน้ำท่วมปอด และไตวายจึงต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งนายเขื่อนเพชร ลูกชายก็มีฐานะยากมีอาชีพขับรถตุ๊กๆ
นางฟอง กล่าวว่าตนมีลูกบุตรชายคนโตชื่อว่าพลทหารอินสอน ปันตั๋น ได้เสียชีวิตขณะทำหน้าที่เป็นทหารอยู่ที่ อ.เชียงคำ จ.พะเยา เมื่อปี 2516 ขณะมีอายุได้ 21 ปีทำให้ตนได้รับเงินบำนาญของบุตรชายมาโดยตลอดเดือนละ 12,000 บาท ต่อมาก็ได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุโดยที่ตนก็ไม่รู้ว่าตามระเบียบไม่สามารถรับซ้ำซ้อนกันได้ จากจำนวนเงินดังกล่าวยอมรับว่าไม่สามารถใช้คืนได้ เพราะลูกที่เหลืออีก 3 คนก็ต่างมีครอบครัวกันไปหมดแล้วเหลือคนรองที่คอยดูแลอยู่เพียงคนเดียวแต่ก็ยากจนเหมือนกัน มีค่าใช้จ่ายทุกอย่างทั้งซื้อข้าว อาหาร น้ำ จ้างซักผ้า ค่าเดินทางไปฟอกไต แทบไม่เหลือเก็บไว้จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ช่วยเหลือผ่อนผันด้วย เพราะหากอยู่ในวัยหนุ่มที่ตนยังทำงานค้าขายได้ก็คงจะพอหาเงินมาชำระคืนได้ ด้านนายเขื่อนเพชร กล่าวว่า ตนเองต้องพามารดาไปฟอกไต ต้องตื่นตั้งแต่ตี 2-3 เพื่อไปยังโรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร อ.เวียงชัย ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร ทำให้ทั้งวันนั้น ไม่ได้ออกไปทำงาน ส่วนวันปกติก็ออกไปทำงานแต่ก็แทบไม่มีลูกค้าไปใช้บริการเพราะเป็นช่วงมีวิกฤติไวรัสโควิด-19 แทบไม่มีรายได้ แม้ทางเทศบาลจะเข้าไปเจรจาขอให้ผ่อนชำระเดือนละ 2,000 บาทก็คงไม่มีปัญญาจะหามาให้ได้จึงขอความเห็นใจในเรื่องนี้ด้วย
นายโชคชัย แสนทวีสุข ปลัดเทศบาล ต.สันทราย กล่าวว่ากรณีของนางฟองดังกล่าวได้รับการสำรวจกรณีเป็นผู้ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเมื่อปี 2552 เมื่อสอบถามว่าได้รับสิทธิ์ในฐานะเป็นข้าราขการหรือไม่ก็แจ้งว่าไม่ได้เป็นข้าราชการ จนในปี 2563 กรมบัญชีกลางได้รับเรื่องการจ่ายค่าเบี้ยยังชีพ และตรวจสอบพบว่ามีการรับเงินบำนาญกรณีบุตรชายที่เสียชีวิต จึงมีการแจ้งหนังสือให้เทศบาล ต.สันทราย ออกหนังสือเรียกเงินคืน แต่เมื่อดูจากฐานะและสุขภาพแล้วถือว่าเป็นครอบครัวที่มีความยากลำบากอย่างมาก ทางเทศบาลจึงไม่ได้เร่งรัดและได้ประสานไปยังสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อให้การช่วยเหลืออีกทางหนึ่งแล้ว แต่ก็จำเป็นต้องทำตามหน้าที่ด้วยการเจรจาขอให้มีการผ่อนชำระแต่ก็คาดหวังว่าทางรัฐบาลจะให้การช่วยเหลือจากกรณีนี้