เจ้าของโรงแรมหรูย่านอ่าวนาง จ.กระบี่ สู้วิกฤตโควิด19 ไม่ยอมเลิกจ้างพนักงาน ชวนมาร่วมทำฟาร์มเมล่อนสายพันธุ์ญี่ปุ่น ได้ผลลิตคุณภาพ เกรดฟรีเมี่ยม แต่ราคาเบา ๆกก.ละ150 บาท เผยตแรก ลูกค้าแห่จองหมดฟาร์ม เตรียมขยายพื้นที่ปลูก หวังขายในตลาดท่องเที่ยวในอนาคต

0
(0)
image_print

เมื่อวันที่ 11 มี.ค.64 นายเอกวิทย์ ภิญโญธรรมโนทัย ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.กระบี่ และเจ้าของโรงแรมพีซลากูน่า รีสอร์ทแอนด์สปา ที่หาดอ่าวนาง ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจโรงแรมไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าพักขาดรายได้ ขณะเดียวกันก็ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายของโรงแรม ค่าน้ำค่าไฟ รวมทั้งค่าแรงพนักงาน แต่ก็พยายามที่จะหาวิธีแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้พนักงานต้องตกงานขาดรายได้ ด้วยการใช้พื้นที่ว่างที่มีอยู่1 งาน หลังบ้านพักในพื้นที่หมู่ 7 ต.ไสไทย อ.เมืองกระบี่ ทดลองปลูกเมล่อน สายพันธุ์ญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ “เมลโล่ ฟาร์ม” (Mellow Farm)โดยเริ่มทดลองปลูก มานานประมาณ 3 เดือนเศษ ผลปรากฏว่า ได้ผลผลิตดีมีคุณภาพ แต่ละลูกน้ำหนักกว่า 2 กก.จึงเป็นที่ต้องการของตลาด ล่าสุดมีลูกค้าสั่งจองจนหมดเกลี้ยงฟาร์มในราคา กก.ละ 150 บาท

นายเอกวิทย์ กล่าวว่า จากวิกฤติโควิด-19 ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวโรงแรมหยุดชะงัก ต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว ทำให้ต้องพยายามหาทางออกเพื่อที่จะได้ไปต่อ เพราะไม่อยากให้พนักงานต้องตกงาน สุดท้าย ค้นพบวิธีง่ายๆ นั่นก็คือ การกลับคืนสู่ธรรมชาติ จากเช้าที่ตื่นด้วยนาฬิกาปลุก แล้วเร่งรีบไปทำงาน เป็นเช้าที่ตื่นตามเสียงไก่ขัน แล้วแต่งตัวสบายๆ เพื่อลงสวนไปพรวนดิน ผสมปุ๋ย ถอนวัชพืช หว่านเมล็ด แล้วประดับประคองรอให้ต้นกล้าเติบโต การได้อยู่กับธรรมชาติ ทำให้เราเรียนรู้ว่า บางครั้งชีวิตไม่ได้ต้องการแสงสีวัตถุนอกกาย แต่การได้ทานพีช ผัก ผลไม้ที่ปลูกเองนับเป็นความภูมิใจและมีความสุข ตนและภรรยาคือนางสุภาพร ภิญโญธรรมโนทัย จึงได้ตัดสินใจ ร่วมกัน ว่าจะปลูกเมโล่ สายพันธ์ญี่ปุ่นขาย เพราะให้ผลผลิตในระยะสั้นๆ 3-4 เดือน โดยศึกษาเรียนรู้จากอาจารย์ท่านหนึ่ง และศึกษาเพิ่มเติมจากยูทูบ โดยชักชวนพนักงานโรงแรมที่โรงแรมร่วมเป็นหุ้นส่วนและร่วมกันลงมือทำเพื่อเรียกความมั่นใจกลับมา ภายใต้ ชื่อ “Mellow Farm” (เมลโล่ฟาร์ม) เปลี่ยนแนวคิดเดิมระหว่างพนักงานกับนายจ้าง มาเป็นพาร์ทเนอร์ และมีส่วนร่วมในการทำฟาร์ม ให้พนักงานที่มีเวลาว่างจากงานประจำในโรงแรม ได้มาช่วยกันดูแลฟาร์มเมล่อน ผลผลิตที่ได้ ก็แจกจ่ายให้พนักงาน และคนใกล้ชิดได้นำไปบริโภค และต่อยอดไปถึงการนำออกขายในตลาด
นายเอกวิทย์ กล่าวอีกว่า เมล่อน เป็นผลไม้ที่มีคุณภาพ สามารถนำไปใช้เป็นของฝากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ ญาติพี่น้องได้ หรือจะรับประทานเอง หากเราจะไปซื้อที่นำเข้าจากญี่ปุ่นโดยตรง จะมีราคาแพง ตนจึงคัดเลือกเมล่อนสายพันธุ์ญี่ปุ่น มาทดลองปลูกผลปรากฎว่ารสชาติใกล้เคียงกับสายพันธุ์ญี่ปุ่น ซึ่งตอนนี้ผลในแปลงแรกให้ผลผลิตออกมาแล้ว 160 ลูก ขายในราคากก.ละ150 บาท ยังไม่ทันเก็บเกี่ยวผลผลิตก็มีลูกค้าสั่งจองล่วงหน้าหมดเกลี้ยง ซึ่งทำให้พนักงานของตนมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ ขณะนี้เตรียมต่อยอดขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการลูกค้า
นายเอกวิทย์ กล่าวว่า เมล่อนที่ปลูกในฟาร์ม เป็นสายจากพันธุ์ญี่ปุ่นรสชาติจะหวานถูกปากคนไทยเกรดพรีเมี่ยม แต่ราคากก.ละ 150 บาทต่อ เท่านั้น จึงเป็นที่ต้องการของลูกค้า ตนวางแผนจะต่อยอดไปในอนาคต อาจจะป้อนสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ของเราเอง ไม่จำเป็นต้องนำเข้ามาจากที่อื่นในราคาต้นทุนที่แพงเกินไป ซึ่งจะเป็นผลดีต่อภาคท่องเที่ยว เพราะเราจะสามารถควบคุมคุณภาพได้เอง สามารถส่งต่อให้ผู้บริโภคในราคาที่คุ้มค่ากับคุณภาพมากที่สุด..

ภาพ – ข่าว ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง จ.กระบี่
นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ให้คะแนนบทความนี้

กรุณาเลือกจำนวนดาว

คะแนนค่าเฉลี่ย 0 / 5. จำนวนผู้ให้คะแนนโวต 0

ยังไม่มีผู้ให้คะแนนบทความนี้

Sending
User Review
0 (0 votes)

Leave a Reply

Translate »