นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุลสส.แพร่ เขต 3 พรรคเพื่อไทยกล่าวถึง ปัญหาน้ำท่วมและอุทกภัยใหญ่
ปัญหาหนักหนาสาหัส
ถึงเวลาบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ
โดยร่างพระราชบัญญัติป้องกันและแก้ไขภัยพิบัติแห่งชาติ พ.ศ. ….
เสนอโดยผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทย
อยู่ในวาระของสภาผู้แทนแล้ว
รอเวลาพิจารณา
รวม12 หมวด รวม 112 มาตรา
แก้ไขปัญหา ครบวงจร
- ปลอดภัยมากขึ้น มี “ระบบเตือนภัยล่วงหน้า” ที่มีกฎหมายรองรับ • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สามารถออก “ประกาศเตือนภัยล่วงหน้า” ได้ทันทีเมื่อพบสัญญาณความเสี่ยง
• หน่วยงานท้องถิ่นต้องดำเนินการป้องกัน อพยพ หรือเตรียมการรับมือโดยไม่ต้องรอภัยเกิด
• ลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างมีนัยสำคัญ - ได้รับการป้องกันก่อนเกิดภัย
ไม่ต้องรอความช่วยเหลือหลังความเสียหาย
• สำนักงานบริหารจัดการภัยพิบัติแห่งชาติสามารถใช้ “กองทุนป้องกันและแก้ไขภัยพิบัติแห่งชาติ” เพื่อดำเนินการเชิงป้องกันล่วงหน้าได้
• โครงการเชิงโครงสร้าง เช่น เขื่อน ฝาย คันกั้นน้ำ หรือระบบระบายน้ำ สามารถสร้างได้โดยไม่ต้องรอภัยเกิด
• ปิดจุดอ่อนเดิมของระบบที่ “ทำงานได้เฉพาะเมื่อเกิดภัยแล้วเท่านั้น” - ได้รับความช่วยเหลือที่รวดเร็วและเป็นธรรมมากขึ้น
• ระบบบัญชาการรวมศูนย์อยู่ที่นายกรัฐมนตรี ผ่านรองนายกรัฐมนตรีผู้มอบหมาย
ทำให้สามารถสั่งการทุกกระทรวงและหน่วยงานได้ทันที
• ลดปัญหาความล่าช้าและซ้ำซ้อนของงบประมาณ
• มีระบบชดเชยและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการรัฐที่เป็นธรรมและโปร่งใส - มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ของตน
• ประชาชน ภาคเอกชน และองค์กรท้องถิ่นมีสิทธิเข้าร่วมในเครือข่ายอาสาสมัครภัยพิบัติแห่งชาติ
• สามารถเสนอข้อมูล แจ้งเตือน หรือร่วมกำหนดแนวทางป้องกันในพื้นที่ของตนเองได้
• ภาคธุรกิจที่สนับสนุนการป้องกันภัยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี - ได้รับการคุ้มครองสิทธิในกรณีที่ต้องย้ายออกจากพื้นที่เสี่ยง
• มาตรา 71–77กำหนดสิทธิของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการป้องกันภัย
เช่น การสร้างอ่างเก็บน้ำ เขื่อน หรือคันกั้นน้ำ
• รัฐต้องจัดหาที่อยู่อาศัยใหม่ ที่ทำกินทดแทน และให้ค่าชดเชยอย่างเป็นธรรม
• มีคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิประชาชนในพื้นที่กำกับดูแลโดยตรง - เข้าถึงข้อมูลและข่าวสารที่แม่นยำ โปร่งใส และทันเวลา
• มีการจัดตั้ง “ศูนย์เทคโนโลยีและระบบข้อมูลภัยพิบัติแห่งชาติ” เพื่อรวบรวมข้อมูลจากทุกหน่วยงาน
• ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการเตือนภัยผ่านระบบดิจิทัลแบบเรียลไทม์
• การแจ้งเตือนภัยใช้ข้อมูลจาก AI, Big Data, IoT ทำให้มีความแม่นยำสูง - ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายกรณีช่วยเหลือผู้อื่นในภาวะภัย
• อาสาสมัครและประชาชนที่เข้าช่วยในภาวะภัยได้รับความคุ้มครองทางแพ่งและทางอาญา (ตามหมวด 10)
• หากเกิดความเสียหายจากการช่วยเหลือโดยสุจริต จะไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย - ประเทศมีระบบป้องกันภัยที่ยั่งยืนในระยะยาว
• มีการวางแผนเชิงระบบ ทั้งการบริหารจัดการน้ำ การใช้ที่ดิน และระบบเตือนภัยล่วงหน้า
• งบประมาณถูกใช้ไปกับการป้องกันมากกว่าการเยียวยา
• ทำให้เศรษฐกิจและสังคมไทยมีเสถียรภาพจากภัยพิบัติในระยะยาว - ลดความเหลื่อมล้ำในการได้รับความช่วยเหลือ
• ทุกจังหวัดอยู่ภายใต้ระบบกฎหมายเดียวกัน
• หน่วยงานในพื้นที่ไม่สามารถเลือกปฏิบัติได้ เพราะคำสั่งและงบประมาณมาจากศูนย์กลางโดยตรง
• ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลได้รับการป้องกันและช่วยเหลือเท่าเทียมกับพื้นที่เมือง - เพิ่มศรัทธาและความเชื่อมั่นต่อภาครัฐ
• เมื่อประชาชนเห็นว่ารัฐสามารถเตือนภัยล่วงหน้าได้จริง ป้องกันภัยได้จริง และช่วยเหลือได้อย่างโปร่งใส
จะเกิดความเชื่อมั่นในระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศ
• สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้รัฐบาลไทยในฐานะ “รัฐบาลที่สามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ดังนั้น ประชาชนจะได้รับประโยชน์โดยตรงจาก “ความปลอดภัยที่มากขึ้น การช่วยเหลือที่รวดเร็วขึ้น และสิทธิที่ชัดเจนขึ้น”
ร่างพระราชบัญญัตินี้จึงเป็น “กฎหมายป้องกันภัยพิบัติของประชาชน” อย่างแท้จริง
เป็นกฎหมายที่ยกระดับคุณภาพชีวิต ความมั่นคง และความมั่นใจของคนไทยทั้งประเทศ
พรรคเพื่อไทย หัวใจคือประชาชน








