เชียงใหม่ สุดอลเวงตาวัย 89 ปีเส้นเลือดสมองแตกแต่ต้องไปรักษาตัวไกลถึงอำเภอฝาง

0
(0)
image_print

สุดอลเวงตาวัย 89 ปีเส้น เลือดสมองแตกล้มฝุบคาบ้านในตัวเมืองเชียงใหม่ แต่โรงพยาบาลต้นสังกัดสิทธิ์บัตรทอง เตียงเต็ม ต้องไปรักษาตัวไกลถึงอำเภอฝาง ระยะทาง 156 กม. เดินทางกว่า 3 ชั่วโมงสุดท้ายเสียชีวิต ก่อนหน้านี้โรงพยาบาลต้นสังกัดประสานโรงพยาบาลใกล้เคียง 5 แห่ง ทั้งใน จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูน แต่ไม่มีเตียงว่าง

เรื่องราวสุดอลเวง เกิดขึ้นเมื่อเวลา 17.00 น. 22 พฤศจิกายน หลังจากที่นายสุทัศน์ บุญเป็ง อายุ 89 ปี เกิดเส้นเลือดในสมองแตก ในบ้านเลขที่ 56/1 ถ.เมืองสาตร บ้านเมืองสาตรหลวง ต.หนองหอย อ.เมือง เชียงใหม่ นางวราภรณ์ เชื้อเขียว นำอาหารเย็นมาส่งได้มาพบขณะที่คุณตานั่งหมดสติพิงกำแพงอยู่ในบ้าน จึงได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น พร้อมกับแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัย นำส่งโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด จากกการตรวจพบคุณตาสุทัศน์ มีสิทธิ์บัตรทองรักษาอีกโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้กัน จากนั้นโรงพยาบาลดังกล่าวได้แจ้งกับญาติว่าเตียงเต็ม เจ้าหน้าที่ได้ประสานหาเตียงรักษา โรงพยาบาลจอมทอง โรงพยาบาลสันป่าตอง โรงพยาบาลสันกำแพง โรงพยาบาลดอยสะเก็ด และโรงพยาบาล ในพื้นที่ จ.ลำพูน แต่ไม่เตียงว่าง แต่สุดท้ายประสานไปยังโรงพยาบาลฝาง ซึ่งระหว่างนั้นตาสุทัศน์ ต้องนอนรอการประสานหาเตียงโรงพยาบาลที่สามารถเข้ารับการรักษาได้อีกประมาณ 6 ชม. และต้องขับรถโรงพยาบาล จากโรงพยาบาลต้นสังกัด ไปโรงพยาบาลฝาง ระยะทาง 156 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. และถึงที่โรงพยาบาลในช่วงกลางดึก เวลาประมาณ 03.00 น. จากนั้นแพทย์ประเมินว่ามีอาการเลือดคั่งในสมองถึง 90% และนอนรักษาตัวโรงพยาบาลฝาง จนกระทั่งเสียชีวิตเวลา 16.45 น. ของวันที่ 23 พฤศจิกายน และทางญาติต้องฝากร่างของผู้เสียชีวิต ก่อนจะต้องเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปรับศพของคุณตาที่ โรงพยาบาลฝาง ในช่วงเช้าของวันที่ 24 พฤศจิกายน ทำให้ต้องเสียเวลาในการเดินทาง การแจ้งตายในพื้นที่ จ.ฝาง ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการนำร่างคุณตากลับมาบำเพ็ญกุศลศพที่บ้านในตัวเมืองเชียงใหม่พื้นที่อีกกว่า 7 พันบาท

จากการสอบถาม นางวราภรณ์ เชื้อเขียว อายุ 58 ปี ญาติของผู้เสียชีวิต เล่าว่า ก่อนจะพบว่าผู้ป่วยหมดสติคือตอนที่จะเอาอาหารไปให้ทาน ในตอนเย็นของวันที่ 22 พ.ย.64 แต่เมื่อไปถึงก็เห็นว่าบรรยากาศเงียบเชียบ จึงเข้าไปดูก็พบว่าผู้ป่วยนั่งพิงกำแพงห้องอยู่ ตนจึงรีบโทรแจ้ง 1669 ให้เข้ามาช่วยนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล โดยตอนแรกทางผู้ป่วยถูกนำตัวส่งที่โรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุด หลังจากนั้นตนได้แจ้งว่าผู้ป่วยมีสิทธิ์บัตรทอง ทางโรงพยาบาลจึงประสานนำส่งต่อไปยังอีกโรงพยาบาลที่มีสิทธิ์บัตรทองอยู่ และถูกนำตัวส่งต่อในเวลาต่อมา แต่เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาลดังกล่าว ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าตอนนี้เตียงเต็ม ทำให้ต้องรอการประสานเพื่อหาโรงพยาบาลที่สามารถส่งต่อได้ แต่หลังจากการประสานโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วทั้งในพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ก็ไม่มีโรงพยาบาลไหนที่สามรถรับผู้ป่วยได้ ทั้งโรงพยาบาลสันกำแพง , ดอยสะเก็ด , สันป่าตอง , จอมทอง และโรงพยาบาลในพื้นที่ จ.ลำพูน จนกระทั่งสุดท้ายผู้ป่วยต้องได้ถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลในพื้นที่ อ.ฝาง ในที่สุด

ขณะที่ทางด้าน นางวรจิตร กฤตยานุกูล อายุ 61 ปี ญาติผู้เสียชีวิตอีกราย บอกว่า ภายหลังจากที่ผู้ป่วยถูกนำตัวส่งมายังโรงพยาบาลในพื้นที่ อ.ฝาง แล้วนั้น ทางพยาบาลได้แจ้งกับตนว่าอาการของคนไข้ค่อนข้างวิกฤติ และไม่สามารถรักษาได้ พร้อมกับบอกอีกว่าให้นำผู้ป่วยกลับบ้านจะดีกว่า แต่รถของโรงพยาบาลไม่มี และทางญาติผู้ป่วยต้องหารถมารับผู้ป่วยเอง ทำให้ตนต้องไปติดต่อรถโรงพยาบาลที่มาส่งก่อนหน้านี้ จากนั้นตนได้ประสานไปยังโรงพยาบาลที่มาส่ง แต่ทางโรงพยาบาลได้แจ้งว่า ตอนนี้รถที่ไปส่งผู้ป่วยได้เดินทางออกมาไหลแล้ว อีกทั้งแจ้งด้วยทางโรงพยาบาลไม่มีนโยบายกลับไปรับผู้ป่วย นอกจากทางแพทย์จะทำเรื่องส่งกลับเท่านั้น และเป็นหน้าที่ของโรงพยาบาลที่นำส่งแล้วและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ทำให้ตนต้องแจ้งกับทางโรงพยาบาลให้ทำเรื่องแอดมิทที่โรงพยาบาล แต่ทางโรงพยาบาลก็แจ้งกับตนว่าสามารถรักษาได้ตามอาการเท่านั้นทำให้ต้องนอนดูอาการผู้ป่วย อยู่ที่โรงพยาบาลนานหลายชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 03.00 น. จนกระทั่งผู้ป่วยมาเสียชีวิตในเวลาประมาณ 16.45 น. ในที่สุด

นางวรจิตร บอกอีกว่า ในส่วนของตนมองว่า หากผู้ป่วยได้รับการรักษาแบบทันท่วงทีอาจจะมีโอกาสรอด 50/50 เนื่องจากผู้ป่วยก็มีอายุมากแล้ว ประกอบกับมีอาการเลือดออกในสมอง ทำให้มีอาการค่อนข้างหนัก และหากได้รับการผ่าตัดก็มีโอกาสรอด 50/50 แต่จากที่ผู้ป่วยถูกนำส่งโรงพยาบาลพื้นที่ อ.ฝาง เท่ากับว่าไม่ได้รับการรักษาเลย เนื่องจากต้องเสียเวลาเดินทาง ได้เพียงใส่ท่อและเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น และจากผลเอ็กซเรย์ก็พบว่ามีเลือดออกในสมองเยอะมาก ทำให้ไปทับการสั่งงานของร่างกาย ซึ่งในจุดนี้ตนไม่ได้ติดใจอาการของผู้ป่วยแต่อย่างใด แต่ติดใจตรงที่ทำไมโรงพยาบาลต้องส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาถึงที่ อ.ฝาง ทำให้ญาติต้องลำบากทั้งการเดินทาง และเสียเวลาในการเดินทางไปรับศพ เนื่องจากญาติอยู่ในพื้นที่เมืองเชียงใหม่ แต่ต้องเดินทางไปรับศพถึง อ.ฝาง ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย ทั้งๆ ที่หากผู้ป่วยถูกนำส่งที่โรงพยาบาลวนพื้นที่ตัวเมืองก็จะไม่ได้ยุ่งยากเช่นนี้ และก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ที่ผู้ป่วยในตัวเมืองถูกนำส่งไปรักษานอกเมือง ซึ่งตนก็มองว่าอาจจะเป็นเพราะผู้ป่วยที่มีจำนวนมากในตอนนี้ ซึ่งในส่วนนี้ตนก็ไม่อยากติดใจแต่อย่างใด และอยากให้กรณีที่เกิดขึ้นนี้เป็นกรณีศึกษา หรืออุทาหรณ์ในการส่งตัวผู้ป่วยไปรับการรักษาของโรงพยาบาล เพราะไม่อยากให้เกิดขึ้นเช่นนี้อีก

ให้คะแนนบทความนี้

กรุณาเลือกจำนวนดาว

คะแนนค่าเฉลี่ย 0 / 5. จำนวนผู้ให้คะแนนโวต 0

ยังไม่มีผู้ให้คะแนนบทความนี้

Sending
User Review
0 (0 votes)

Leave a Reply

Translate »