1

ผู้ติดเชื้อโควิด-19 จังหวัดเชียงใหม่ เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย

จังหวัดเชียงใหม่ แถลงกรณีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย เป็นผู้สูงอายุและสัมผัสกลุ่มเสี่ยง ขณะที่คลัสเตอร์งานศพที่อำเภออมก๋อย ยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ทางทีมควบคุมโรคอำเภออมก๋อยจึงได้ลงพื้นที่ค้นหากลุ่มเสี่ยงและควบคุมป้องกันโรคอย่างเข้มข้นอีกครั้ง

วันนี้ (2 พ.ค. 64) ที่ ศูนย์บัญชาการสถานการณ์การระบาดโรค Covid-19 จังหวัดเชียงใหม่ นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย ดร.ทรงยศ คำชัย หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์นเรนทร์ โชติรสนิรมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ร่วมกันแถลงสถานการณ์การระบาดของโรค Covid-19 ระลอกเดือนเมษายนจังหวัดเชียงใหม่

นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่ำกว่า 100 ราย มาเป็นระยะเวลาหลายวันแล้ว อย่างไรก็ตามยังคงต้องมีมาตรการควบคุมโรคที่เข้มข้น เนื่องจากยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ ขณะที่แนวโน้มผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงพบผู้ติดเชื้อสูงในกลุ่มครอบครัว ชุมชน และสถานที่ทำงาน ตามลำดับ จึงขอความร่วมมือชาวเชียงใหม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ และดูแลสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล รวมถึงชะลอหรืองดเว้นการเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อลดการแพร่ระบาดและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 พร้อมกันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้ง 2 ราย ในวันนี้

ดร.ทรงยศ คำชัย หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า วันนี้จังหวัดเชียงใหม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง มีจำนวน 55 ราย รวมยอดผู้ติดเชื้อสะสม 3,685 ราย รักษาหายแล้ว 2,118 ราย คิดเป็นร้อยละ 57 ของผู้ป่วยทั้งหมด ยังคงมีผู้รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทุกประเภท จำนวน 1,560 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย รวมผู้เสียชีวิตในจังหวัดเชียงใหม่เป็น 7 ราย ขณะที่กลุ่มผู้ติดเชื้อที่ยังคงรักษาอยู่นั้น แยกเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรืออาการเล็กน้อย (สีเขียว) 1,194 ราย อาการปานกลาง (สีเหลือง) 191 ราย อาการค่อนข้างหนัก (สีส้ม) 71 ราย และอาการหนัก (สีแดง) 18 ราย ส่วนการตรวจกลุ่มเสี่ยงของโรงพยาบาลประจำอำเภอ โรงพยาบาลเอกชน และจุดตรวจคัดกรองต่าง ๆ เมื่อวานนี้ (1 พ.ค. 64) ได้ทำการตรวจไปทั้งหมด 1,229 ราย พบผู้ติดเชื้อ 45 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.66 และเมื่อแยกรายจุดตรวจจากโรงพยาบาลต่างอำเภอพบผู้ติดเชื้อสูงขึ้นร้อยละ 9.86 โรงพยาบาลเอกชน ร้อยละ 9.46 และจุดตรวจที่โรงพยาบาลสนามร้อยละ 6.92 ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูล 55 รายใหม่ โดยมีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมืองร้อยละ 50 ต่างอำเภอร้อยละ 50 และในวันพรุ่งนี้ (3 พ.ค. 64) จะมีการเพิ่มจุดตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงที่สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ ตรงศูนย์วัณโรคเดิม ถนนศรีดอนไชย อีก 1 จุด จึงขอให้ผู้ที่มีความเสี่ยงเข้ารับการตรวจคัดกรองได้

ในส่วนคลัสเตอร์ต่าง ๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามีหลายคลัสเตอร์ที่ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่มา 5-6 วันแล้ว ทั้งนี้ยังคงต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 28 วัน ตามมาตรการควบคุมโรคติดต่ออันตราย ขณะที่คลัสเตอร์งานศพที่อำเภออมก๋อย ยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ 4 ราย ซึ่งทางทีมควบคุมโรคอำเภออมก๋อยได้ลงพื้นที่ค้นหากลุ่มเสี่ยงและควบคุมป้องกันโรคอย่างเข้มข้นอีกครั้ง

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์นเรนทร์ โชติรสนิรมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ได้ชี้แจงกรณีมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่อีก 2 รายว่า รายแรกเป็นหญิงไทยอายุ 66 ปี มีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน ติดเชื้อมาจากคนในครอบครัว (บุตร) ตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 28 เมษายน และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนครพิงค์เมื่อวันที่ 29 เมษายน ต่อมามีอาการเหนื่อยมาก อัตราการหายใจ 40 ครั้ง/นาที และได้เสียชีวิตลงในวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา ด้วยระบบการหายใจล้มเหลวรุนแรง คลื่นไฟฟ้าหัวใจมีความผิดปกติ ส่วนอีกรายเป็นหญิงไทยอายุ 51 ปี ไม่มีโรคประจำตัว แต่มีน้ำหนักมากถึง 80 กิโลกรัม และมีบุคคลในครอบครัวติดเชื้อโควิด-19 วันที่ 22 เมษายน มีอาการหายใจหอบเหนื่อย จึงเรียกรถพยาบาลเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสันทราย และได้ทำการตรวจเอกซเรย์ปอด พบปอดอักเสบทั้ง 2 ข้าง จึงได้ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ซึ่งอาการแรกรับรู้สึกตัวดี แต่มีอาการหายใจเร็ว ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดค่อนข้างต่ำ และในวันที่ 29 เมษายน ผู้ป่วยมีภาวการณ์ทำงานของอวัยวะภายในล้มเหลวหลายส่วน และได้เสียชีวิตลงในวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา ด้วยภาวะการล้มเหลวของอวัยวะหลายระบบภายในร่างกายรุนแรง ไม่สามารถประคับประคองต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 2 ราย แต่ทีมแพทย์ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาทุกชีวิตอย่างสุดความสามารถ เพื่อรักษาให้ผู้ป่วยปลอดภัยและรอดชีวิต